
บุญออกวัดสา หรือบุญออกพรรษา เป็นช่วงที่มีการจัดงานใหญ่กันเกือบตลอดเดือน นิยมถวายผ้าห่มกันหนาวในวันเพ็ญ มีงานบุญตักบาตรเทโวฯ
หลังจากที่พระสงฆ์จำพรรษามา ตลอดระยะเวลา ๓ เดือน ก็ถึงช่วงการออกพรรษา วันออกพรรษาจะตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ ของทุกปี เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าวันมหาปวารณา คำว่าปวารณา แปลว่าอนุญาต หรือยอมให้
ในวันออกพรรษานี้พระสงฆ์จะประกอบพิธีทำสังฆกรรมใหญ่ เรียกว่ามหาปวารณา เป็นการเปิดโอกาสให้ภิกษุว่ากล่าวตักเตือนกันได้ เพราะในระหว่างเข้าพรรษา พระสงฆ์บางรูปอาจมีข้อบกพร่องที่ต้องแก้ไข การให้ผู้อื่นว่ากล่าวตักเตือนได้ ทำให้ได้รู้ข้อบกพร่องของตน และยังเปิดโอกาสให้ซักถามข้อสงสัยซึ่งกันและกันด้วย
วันออกพรรษา เป็นวันที่พระภิกษุสามเณรจะได้มีโอกาสมาชุมนุมกันอย่างพร้อมเพรียงที่วัด ซึ่งชาวบ้านถือว่าเป็นวันสำคัญ และเป็นระยะที่ชาวบ้านหมดภาระในการทำไร่ทำนา อากาศในช่วงนี้จะเย็นสบาย จึงถือโอกาสมาร่วมกันทำบุญ รับศีลสวดมนต์ฟังเทศน์และถวายผ้าจำนำพรรษา มีการตักบาตรถวายภัตตาหารแด่พระภิกษุสงฆ์ในวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ เรียกว่า ตักบาตรเทโว ตอนค่ำจะมีการจุดประทีปโคมไฟในบริเวณวัดและหน้าบ้าน บางท้องถิ่นจะมีการถวายปราสาทผึ้ง หรือ ต้นผาสาดเผิ่ง (สำเนียงอีสาน) เพื่อเป็นพุทธบูชา
จังหวัดที่มีงานบุญถวายปราสาทผึ้งที่ยิ่งใหญ่คือ จังหวัดสกลนคร จะมีขบวนแห่ปราสาทผึ้งซึ่งเป็นปราสาทจำลองที่แกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงมาจากขี้ผึ้ง (คล้ายๆ เทียน) ไปรอบๆ ตัวเมืองให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวได้ชมความงดงาม บางท้องถิ่นที่อยู่ใกล้บริเวณแม่น้ำจะมีการแข่งเรือเพื่อความสนุกสนานและสามัคคีร่วมกันในตอนกลางวัน ส่วนในตอนกลางคืนจะมีการไหลเรือไฟ (ฮ่องเฮือไฟ) เพื่อเป็นพุทธบูชา
พีธีกรรม ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ เริ่มตั้งแต่เช้ามืด พระสงฆ์ตีระฆังให้รวมกันที่โบสถ์ แสดงอาบัติแล้วทำวัตรเช้า จบแล้วไม่ต้องสวดพระปาฏิโมกทำปวารณาแทน การทำปวารณา คือ ให้โอกาสว่ากล่าวตักเตือนกัน ก่อนจะทำปวารณาให้ตั้งญัตติก่อน ๑ - ๒ หรือ ๓ จบ ถ้า ๓ จบให้ว่าดังนี้
สวดญัตติปวารณา พระเถระผู้ใหญ่ขึ้นนั่งบนอาสน์แล้วตั้งญัตติว่า
สุณาตุ เม ภันเต สังโฆ อัชชะ ปะวาระณา ปัณณะระสี ยะทิ สังฆัสสะ ปัตตะกัลลัง สังโฆ เตวาจิกัง ปะวาเรยยะ
แล้วลงจากอาสน์ นั่งคุกเข่า ว่านะโมพร้อมกัน ๓ จบ แล้วพระเถระนั่งหันหน้าลงมาหาสงฆ์ กล่าวคำปวารณาต่อสงฆ์ว่า
สังฆัง อาวุโส ปะวาเรมิ ทิฏเฐนะ วา สุเตนะ วา ปะริสังกายะ วา วะทันตุ มัง อายัสมันโต อะนุกัมปัง อุปาทายะ ปัสสันโต ปะฏิกกะริสสามิ
ว่าดังนี้รูปละ ๓ หน แล้วว่าไปตามลำดับแก่อ่อน เปลี่ยน อาวุโส เป็น ภันเต ครั้นจบคำปวารณาแล้ว พระเถระผู้ใหญ่จะให้โอวาทกล่าวตักเตือนพระสงฆ์ ให้เห็นความสำคัญในการปวารณา คนเราต่างมีทิฏฐิมานะด้วยกัน ถ้าไม่ปวารณากันไว้ เวลาไปทำผิดพลาดเข้า จะไปตักเตือนว่ากล่าว ก็จะถือว่าละลาบละล้วงล่วงเกิน ถ้าได้ปวารณากันไว้ ว่ากล่าวตักเตือนกันได้ จบโอวาทแล้ว เป็นอันเสร็จพิธีการออกพรรษาปวารณา
ใต้ประทีป
เนื่องในวันออกพรรษา พระสงฆ์จะจัดทำเรือไฟขึ้นในวัด ตรงหน้าโบสถ์ ใช้เสาไม้หรือต้นกล้วย ๔ ต้น พื้นปูด้วยกาบกล้วยมีหัวหางคล้ายเรือ ตกกลางคืนนำดอกไม้ธูปเทียนมาจุดบูชา ถือว่าเป็นพุทธบูชา ได้บุญกุศลแรง ตัวอย่าง เช่นพระอนุรุทธเถระ ผู้เป็นพระอรหันต์ ได้รับยกย่องว่ามีตาทิพย์ ทั้งนี้เกิดจากอานิสงส์ได้ให้ประทีปเป็นทาน

ใต้ประทีป ในประเพณีบุญออกพรรษา
ผ้าจำนำพรรษา
ผ้าจำนำพรรษา คือ ผ้าที่พระภิกษุสงฆ์จะรับได้ต่อเมื่อ จำพรรษาแล้ว มีเวลาที่จะถวายพระภิกษุ คือตั้งแต่แรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ซึ่งเป็นวันออกพรรษา จนถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๔ มีเวลาถวายถึง ๔ เดือน หากถวายหรือรับเลยกำหนดนี้ ไม่เรียกว่าผ้าจำนำพรรษา ผ้านี้ทายกนิยมถวายในวันออกพรรษา
ประวัติความเป็นมา
เมื่อสมัยครั้งพระบรมศาสดาประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร กรุงสาวัตถี มีอุบาสกคนหนึ่ง เป็นผู้มีศรัทธาต่อพระรัตนตรัย ชื่อว่าติสสะ ได้พร้อมใจกับภรรยาของตนเย็บและย้อม ซึ่งจีวรสบง สังฆาฏิ ได้ถวายเสร็จแล้วก็ทูลลากลับไปสู่เคหาของตน

ผ้าจำนำพรรษา
ในกาลครั้งนั้น พระโมคคัลลานะ ผู้ประกอบด้วยฤทธานุภาพ สามารถนำข่าวสารสวรรค์มาบอกมนุษย์ นำข่าวมนุษย์ไปบอกสวรรค์ และนรก เป็นต้น ครั้นแล้ว พระโมคคัลลานะก็ขึ้นสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ได้เห็นปราสาทมีความงามรุ่งเรืองกว่าปราสาทหลังอื่น ๆ และมีนางเทพกัญญา พันหนึ่งแวดล้อมปราสาทนั้น แต่ไม่มีเทพบุตรอยู่ในปราสาทหลังนั้น พระเถระเจ้าได้ไต่ถามกับนางเทพอัปสรนั้น ได้ทราบโดยตลอด จึงลงจากเทวโลกเข้าไปสู่สำนักพระบรมศาสดากำลังมีพุทธบริษัททั้ง ๔ แวดล้อมอยู่
พระเถระเข้าไปถวายอภิวาทแล้วทูลถาม
อานิสงส์ถวายผ้าจำนำพรรษายังมีชีวิตอยู่ในเมืองมนุษย์ ว่าปราสาททิพย์ได้รอคอยอยู่ในเทวโลก เพราะเกิดจากผลทานของการถวายผ้าจำนำพรรษา จะมีบ้างไหมพระพุทธเจ้าข้า.
พระองค์ทรงตรัสว่า
ดูกรโมคคัลลานะ ผ้าจำนำพรรษาที่ติสสะอุบาสกได้กระทำไว้นั้น ก็ได้ปรากฏแก่เธอเองแล้วมิใช่หรือ.
พระโมคคัลลานะทูลตอบว่า
จริงแล้วพระเจ้าข้า.
สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสต่อไปว่า
โมคคัลลานะ บุคคลผู้ใดมีศรัทธา ได้ถวายผ้าจำนำพรรษาแก่ภิกษุสงฆ์ มีองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นต้น บุคคลผู้นั้นเบื้องหน้าแต่แตกกายทำลายขันธ์ไป ย่อมมีสุคติเป็นที่ไป “ทานสคฺคโสปาณํ” ผลทานเป็นบันไดนำไปสู่สวรรค์ ปิดกั้นเสียซึ่งอบายภูมิ บุคคลผู้มีมืออันชุ่มไปด้วยการให้ทาน หมู่ทวยเทพทั้งหลายย่อมมีความยินดี สรรเสริญรอคอยบุคคลผู้ให้ทานนั้นอยู่เสมอ ดุจนางอัปสรเทพกัญญารอคอยติสสะอุบาสกฉะนั้น
เมื่อจบพระสัทธรรมเทศนาลง บริษัททั้ง ๔ มีความรื่นเริง ยินดีในพุทธพจน์นัก กลับเป็นผู้ตั้งอยู่ในกุศล สัมมาปฏิบัติเป็นจำนวนมาก ฝ่ายติสสะอุบาสก ครั้นทำลายขันธ์ลงก็นำตนไปอุบัติขึ้นในสัตตรัตนปราสาท เสวยสมบัติอันเป็นทิพย์ มีนางอัปสรแวดล้อมเป็นยศบริวาร